16 Days 16 Stories รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง

16 Days 16 Stories วันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง

16 เรื่องราวความรุนแรงและการคุกคามที่เกิดขึ้นกับลูกจ้างทำงานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางจิตใจ ทางเพศ รวมถึงทางเศรษฐกิจ การแบ่งปันเรื่องราวในครั้งนี้เพื่อต้องการเป็นกระบอกเสียงไปสู่สังคมให้ตระหนักถึง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กและผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทำของนายจ้าง ภาครัฐ พ่อแม่ หรือ คนในสังคม ที่ใช้ความรุนแรงแบบใดแบบหนึ่งเพื่อความต้องการของตนโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของเด็กและผู้หญิง

.

16 Days of Activism against Gender-Based Violence คือ 16 วันรณรงค์ยุติความรุนแรงความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง โดยจะเริ่มต้นรณรงค์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล และดำเนินไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิทธิมนุษยชน เพื่อเรียกร้องให้มีการป้องกันและยุติความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลก

ลูกของนายจ้าง

ตอนนั้นฉันอายุ 19 ปี ได้ไปทำงานกับนายจ้างสามี-ภรรยาคู่หนึ่ง แถวบางกะปิ ตอนนั้นนายจ้างยังไม่มีบ้านของเขาเอง ก็เลยไปอยู่บ้านของครอบครัวฝั่งภรรยา ที่บ้านหลังนั้นก็จะมีแม่ของภรรยา และน้องชายเขาอยู่ด้วย ฉันก็ต้องเข้าไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วย หน้าที่หลักของฉันก็ต้องทำความสะอาดบ้านและเลี้ยงลูกคนเล็กของนายจ้าง ฉันก็เลยต้องนอนห้องเดียวกับน้อง ส่วนนายจ้างและภรรยาเขาแยกไปนอนอีกห้องหนึ่ง เขาบอกฉันว่าเวลานอนเธอไม่ต้องล็อกประตูนะ เผื่อเขาจะเข้ามาดูน้องตอนกลางคืน เราทำงานอยู่กับครอบครัวนี้ได้ประมาณ 6 เดือน จนวันหนึ่งเพื่อนน้องชายภรรยานายจ้างมาที่บ้าน เขาเรียนมหาวิทยาลัย น่าจะอายุประมาณ 19-20 ปี

“ตอนนั้นฉันนอนหลับอยู่ แล้วก็สะดุ้งตื่นมาตอนดึก รู้สึกเหมือนว่ามีคนมานอนทับ มาจับมือ จับแขนฉันไว้ พอเงยหน้าขึ้นมา ฉันเห็นเพื่อนน้องชายภรรยานายจ้างเขาพยายามจะข่มขืนฉัน พอฉันรู้สึกตัวก็พยายามดิ้นพยายามผลักเขาออก ฉันร้องให้คนช่วยแต่เขาก็ไม่ยอมพยายามใช้แรงบังคับฉัน เอามือปิดปากไม่ให้เสียงร้องของฉันดังออกไป ยิ่งฉันดิ้นเขายิ่งรัดยิ่งกอดแน่นขึ้น เขาตัวใหญ่มากฉันพยายามสู้ทุกทาง พยายามขัดขืนจนสุดแรงก็สู้แรงเขาไม่ได้”

ฉันสู้กับเขาแบบนั้นอยู่สักพักนึง ฉันไม่มีทางเลือก เลยตัดสินใจถีบลูกนายจ้าง หวังว่าถ้าน้องร้องเขาจะได้หยุด ฉันก็ถีบน้อง 2 – 3 ครั้ง จนน้องตื่น พอเขาเห็นน้องร้องเสียงดัง เขาตกใจเลยปล่อยมือออกจากตัวฉัน แล้วก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ถ้าคืนนั้นไม่ได้เสียงของน้องช่วยไว้ฉันก็อาจจะไม่รอด พอตอนเช้าก็ไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าอาย ไม่รู้จะไปบอกใคร กลัวไม่มีใครเชื่อว่าเพื่อนน้องชายภรรยานายจ้างจะกล้าทำกับฉันแบบนั้น.

กระโปรง

ตอนฉันอายุ 16 ปี ฉันทำงานอยู่กับนายจ้างคนไทย ซึ่งในรั้วเดียวกันจะมีบ้านหลายหลังเขาเป็นครอบครัวใหญ่ เลยมีลูกจ้างทำงานบ้านเยอะ หลายคน ฉันทำงานที่บ้านหลังหนึ่งในครอบครัวนั้นมาประมาณ 3 ปี ทุกเย็นฉันจะมีหน้าที่นำขยะออกไปทิ้งที่ถังขยะสาธารณะข้างนอกบ้าน เวลาฉันเดินไปก็จะเจอน้องคนหนึ่ง เขาจะเป็นลูกของลูกจ้างทำงานบ้านคนอื่น ๆ ที่ทำงานในบ้านครอบครัวเดียวกัน นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงกันกับลูกของป้าร้านเย็บผ้า ซึ่งร้านนี้ฉันจะไปใช้บริการบ่อยๆ เพราะอยู่ใกล้บ้านของนายจ้าง ฉันจะเจอแบบนี้เป็นประจำ ทุกครั้งที่ฉันเดินผ่านน้อง ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้แซวฉัน หรือมีท่าทีอะไรที่ดูจะคุกคามฉัน ฉันก็เดินของฉันไป เขาก็อยู่ของเขาไป

จนวันหนึ่ง นายจ้างฝากให้ฉันเอากระโปรงทำงานตัวที่ชำรุดไปแก้ให้เขาหน่อย ฉันก็จะเอาไปให้ป้าร้านเย็บผ้าที่อยู่ใกล้บ้านแก้กระโปรงให้ วันนั้นฉันไปถึงที่ร้านเย็บผ้า แต่เห็นประตูร้านปิดอยู่ ฉันเลยตะโกนเรียกป้าเย็บผ้าอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่นานลูกชายเขาก็เดินมาเปิดประตูให้ ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะฉันเห็นเขาบ่อย ๆ ฉันคุ้นหน้ากันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคุยกัน พอเขาเปิดประตู เขาบอกให้ฉันเข้าไปนั่งรอข้างใน ฉันก็เดินเข้าไปตามเขาบอกก็คิดว่าป้าน่าจะอยู่หลังร้านคงกำลังทำอะไรอยู่ ทันใดนั้นลูกชายป้าเขาก็ปิดประตูบ้าน แล้วก็เอามีดมาขู่ฉัน ฉันไม่รู้เขาไปหยิบมีดมาจากไหน เพราะตอนแรกฉันไม่เห็นว่าเขามีอาวุธถ้ารู้ฉันก็คงไม่เดินเข้ามาง่ายๆแบบนี้ ฉันก็กลัวนะ แต่ฉันผ่านประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาหลายครั้ง ก็พอจะเดาออกได้ว่าเขาต้องการอะไร โชคดีที่ฉันยังมีสติ ก็เลยแกล้งตะโกนออกไปว่า “ป้ามาแล้วหรอ” เขาก็ตกใจทำหน้าตาตื่น รีบวางมีดลงแล้วก็พูดว่าเขาแค่ล้อเล่นเฉย ๆ ตอนนั้นฉันไม่สนใจอะไรแล้วจะเล่นหรือจริงฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ตอนนี้คือโอกาสที่ฉันจะรอดออกไปจากตรงนี้ ฉันก็รีบวิ่งไปที่ประตู พอเปิดออกมาได้ก็วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ตรงไปที่บ้านนายจ้างทันทีไม่ได้เหลียวกลับไปมองข้างหลังอีกเลย เรื่องนี้ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ฉันแค่รู้สึกว่าทำไมชีวิตฉันต้องมาเจอแต่เรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมผู้ชายอยากทำร้ายฉัน กลัวเล่าให้ใครฟังแล้วเขาจะหัวเราะเยาะ หรือสมน้ำหน้าดับสิ่งที่ฉันเจอ ก็เลยเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ได้บอกใคร

เตียงเด็ก

ตอนนั้นฉันอายุ 37 ปี ฉันมีอาชีพเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ได้ไปทำงานให้ครอบครัวหนึ่ง ตระกูลนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในสังคม เขาเลยให้เงินเดือนฉันสูงกว่าปกติ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความคาดหวังที่เขาจะให้ฉันดูแลลูก-หลานเขาให้ดีที่สุด นายจ้างผู้ชายของฉันแต่งงานเข้าบ้านภรรยา ที่บ้านหลังนั้นนอกจากภรรยา ลูกชายเขาที่ฉันต้องดูแล ก็มีแม่ยายและพี่สะใภ้ของนายจ้าง ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน บ้านหลังนี้เขาจะรักลูก รักหลานของเขามาก ถึงขนาดที่ฉันเข้าไปแรกๆ จริงๆแล้วฉันทำงานดูแลเด็กเป็นอยู่แล้วนะ แต่เขาก็หาคนมาสอนงานฉันเพิ่มเช้า-เย็นเพื่อให้ฉันเลี้ยงลูกเขาได้ดีที่สุด ฉันเข้าไปทำงานที่บ้านนี้ตอนน้องพึ่งเกิดได้ 14 วัน หน้าที่ฉันก็ดูแลน้อง ดูแลข้าวของเครื่องใช้ของน้อง ไม่ต้องทำงานอย่างอื่น เวลานอนก็นอนห้องรวมกับนายจ้างตลอดทั้งสามี-ภรรยา เวลาทำงานเขาก็ให้ฉันอยู่แต่ชั้น 2 ห้ามลงไปข้างล่าง เขากลัวอะไรจะติดเสื้อผ้าฉันแล้วมาโดนลูกเขา

เคยมีอยู่เหตุการณ์นึง น้องเขาโดนยุงกัด พอแม่นายจ้างผู้หญิงรู้ เขาก็ไม่ให้คนยกข้าวขึ้นมาให้ฉัน ฉันจะลงไปข้างล่างก็ไม่ได้ ทั้งวันฉันก็ไม่มีอะไรกิน ลูกจ้างทำงานบ้านคนอื่น ๆ ก็ไม่ชอบฉัน เพราะหน้าที่ฉันไม่ต้องทำอะไรดูแลแค่เด็กเงินเดือนก็เยอะกว่าพวกเขา เขาก็เลยแกล้งทำกับข้าวที่มีแต่โครงกระดูกมาให้กินบ้าง เอาคะน้าที่ไม่ได้ล้างมาทำให้กินบ้าง ฉันก็เลยบอกนายจ้างผู้ชายไปเรื่องพวกนี้ให้เขาจัดการให้ ตอนนั้นฉันน่าจะทำงานได้ 7 เดือนแล้ว นายจ้างผู้หญิงกับแม่ของเขาก็เรียกฉันเข้าไปคุย เขาบอกว่ามดลูกของเขาไม่ดี ไม่สามารถให้ความสุขเรื่องอย่างนั้นกับนายจ้างผู้ชายได้ มาขอให้ฉันช่วยทำแทน แล้วจะให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเขาบอกแบบนี้ แต่ฉันปฏิเสธ และบอกว่าฉันมีสามีแล้วฉันทำไม่ได้ เขาก็บอกว่าไม่เห็นเป็นไรก็มีเพิ่มได้อีก เขาพยายามโน้มน้าวฉันว่าเรื่องผิดศีลธรรมมันเป็นเรื่องปกติ ฉันยังคงยืนยันและปฏิเสธไปหลายครั้ง เขาก็ยังพยายามพูดให้ฉันใจอ่อน ฉันไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของเขาคืออะไรที่จะให้ฉันทำแบบนั้น เพราะปกตินายจ้างผู้ชายเขาดีกับฉันนะ ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนั้นเลย ฉันกับนายจ้างผู้ชายจะเหมือนเพื่อนกันมากกว่า ฉันเลยมั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับฉันแน่นอน

ผ่านไปสักพักหนึ่งนายจ้างผู้หญิงก็มาพูดกับฉันอีกครั้งว่าคิดดูหรือยัง ฉันก็บอกฉันทำไม่ได้หรอก แต่เขาตอบฉันว่า ถ้าเธอตกลงฉันจะซื้อชุดวาบหวิวให้อะไรแบบนี้ หลังจากฉันปฏิเสธไป เขาก็เริ่มมีทางทีที่หาเรื่องฉัน เริ่มกลั่นแกล้งฉัน บอกจะไปเที่ยวให้ฉันเก็บเตียงลูกเขา เตียงเด็กสมัยก่อนไม่ใช่แบบปัจจุบันนะ เมื่อก่อนต้องขันน็อตเป็นสิบ ๆ ตัวแล้วน้ำหนักก็เยอะ แต่มันเป็นหน้าที่ฉันก็ต้องทำ พอฉันเก็บเสร็จก็มาบอกฉันว่าไม่ไปแล้ว ไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินอะไรแบบเนี้ย ฉันก็ต้องประกอบเตียงใหม่ บางทีฉันก็สงสัยหลายๆครั้งเขาพยายามจะให้ฉันอยู่กับสามีเขา 2 ต่อ 2 เป็นประจำ ด้วยข้ออ้างต่างๆนานา เคยให้ฉันไปอยู่กับนายจ้างผู้ชายและลูกเขาที่คอนโดส่วนตัว บอกว่าจะฉีดมด ฉีดปลวกที่บ้าน กลัวลูกเขาจะได้รับสารเคมี ฉันก็ต้องไป แต่นายจ้างผู้ชายเขาเป็นคนดี ไม่มาล่วงเกินอะไรฉันเลย มันก็เลยทำให้ฉันสบายใจ

จนมาถึงวันที่เขาเลิกจ้างฉัน ตอนนั้นนายจ้างผู้ชายต้องเดินทางไปต่างประเทศเรื่องอะไรสักอย่างฉันจำไม่ได้ พอนายจ้างผู้ชายไปแล้ว วันรุ่งขึ้นนายจ้างผู้หญิงและแม่ของเขา เรียกฉันเข้าไปคุยบอกเลิกจ้างฉัน เขาได้คนใหม่มาแทนฉันแล้วให้เก็บข้าวของได้เลย ฉันก็ช็อคตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ ไม่ทันตั้งตัวเลย เขาบอกฉันว่าครอบครัวเขาจะย้ายกันไปอยู่ต่างจังหวัด ฉันคงไม่สะดวกจะย้ายตามไป เขาจะจ่ายเงินชดเชยให้ ที่ผ่านมาฉันก็รู้สึกว่าก็ทำงานด้วยดีมาตลอดก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไรยกเว้นเรื่องที่นายจ้างผู้หญิงขอให้ฉันช่วยเรื่องนั้น พอหลังจากฉันออกจากงานนั้นมา ฉันก็มารู้ทีหลัง ว่าจริง ๆ แล้วนายจ้างผู้ชายและภรรยาเขาฟ้องร้องเรื่องแย่งลูกกัน เพราะเขาแต่งงานกันแบบไม่ได้รักกัน โดนคลุมถุงชน แล้วจะใช้ฉันเป็นเครื่องมือในการแย่งลูก พอนายจ้างผู้ชายรู้เรื่องเขาก็โทรมาหาฉันว่าทำไมไม่บอกเขาเรื่องที่นายผู้หญิงมาจ้างให้ทำแบบนั้น เขาก็เลยคุยว่าขอให้ฉันไปเป็นพยานในศาลที่กำลังแย่งลูกกันได้ไหม เดี๋ยวเขาให้ค่าตอบแทน ฉันก็บอกเขาฉันขอไม่ยุ่งเพราะฉันออกมาจากตรงนั้นแล้วไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรอีก เขาก็เข้าใจนะแล้วก็วางสายไป

นวมชกมวย

ตอนฉันเด็ก ๆ บ้านฉันจะมีพี่น้อง 6 คน มีพี่สาว พี่ชาย 2 คน ตัวฉัน และก็น้องชายอีก2คน ครอบครัวฉันมีน้องชายเป็นนักมวยมีค่าตัว ทุก ๆ วันพวกเขาจะซ้อมมวยกับพี่ ๆ ผู้ชาย จับคู่กันซ้อมมวยเป็นประจำอยู่ที่บ้าน ส่วนพี่สาวย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเพราะใกล้โรงเรียน ด้วยความที่ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวที่ยังอยู่ ก็ต้องทำงานบ้าน ซักเสื้อผ้าให้พี่ ๆ น้อง ๆ สมัยนั้นเด็กผู้หญิงต้องทำงานบ้านเป็นเรื่องปกติ เวลาแม่จะเรียกจะถามอะไรพี่ ๆ ก็จะใช้ฉัน ครอบครัวของฉันจะเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่แม่สั่งให้ฉันไปถามพวกพี่ ๆ หรือ บางทีฉันไปเรียกพวกเขาให้มากินข้าว พวกเขาก็จะร่วมมือกันแกล้งฉัน ต่อยฉันบ้าง เหวี่ยงฉันไปทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง ฉันจะโดนแกล้งแทบทุกครั้งที่พวกเขามีโอกาส เวลาฉันไปฟ้องแม่ อยากให้แม่ช่วยจัดการพี่ ๆ ให้ แต่แม่ก็จะพูดเหมือนกับว่าที่พี่ ๆ ใช้ความรุนแรงกับฉันเป็นเรื่องปกติ ว่าฉันจะไปถือสาอะไร เขาหยอกเขาเล่นด้วย ไม่ได้ต่อยจริงๆ อะไรทำนองนี้ ฉันไม่ได้เจ็บตัวขนาดนั้นก็จริงแต่ไม่ใช่ไม่เจ็บเลย ฉันก็ฝังใจนะว่า แม่รักแต่ลูกผู้ชายไม่รักฉัน แต่ถ้าฉันไปฟ้องพ่อนะ เขาก็จะจัดการให้ฉันทันทีเลย ไปว่าไม่ให้เล่นกับน้องแรง บางทีก็ลงโทษพวกเขา บางทีก็ไม่ให้ฉันซักผ้าให้ถ้ายังไม่ยอมเลิกแกล้งฉัน ถึงพ่อจะช่วยปรามพวกพี่ ๆ น้อง ๆ บ้างแต่พอมีโอกาสฉันก็โดนอยู่ดี ฉันก็จะเป็นที่สนุกสนานของพวกเขาแต่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าฉันไม่ชอบ การที่ถูกพวกเขาแกล้งสมัยเด็กมันฝังใจฉัน ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ฉันเกลียดกีฬา “ชกมวย” มาตั้งแต่ตอนนั้น

หลังจากนั้นฉันก็หนีออกจากบ้านเข้ามาอยู่กรุงเทพ ก็ไม่ค่อยได้เจอพวกพี่ ๆ น้อง ๆ บ่อยนัก ฉันใช้ในกรุงเทพชีวิตตั้งแต่อายุ 13 ปี ทำงานเป็นลูกจ้างทำงานบ้านตั้งแต่ตอนนั้น ทุก 3 – 4 ปีฉันจะกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อ เยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัด ทุกครั้งที่ฉันกลับไป ถ้าฉันเห็นพี่ ๆ น้อง ๆ เขาดูมวยอยู่ฉันจะเดินหนีเลยไม่เข้าไปหา บางทีฉันซื้อของกินที่เขาชอบมาฝากหิ้วมาเต็มสองมือ พอถึงหน้าบ้านเห็นพวกเขาดูมวยกัน ฉันก็จะวางของไว้ให้แล้วก็เดินออกมาจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง จนพี่ชายเห็นของที่ฉันวางไว้แล้วก็มาถาม ทำไมมาที่บ้านเขาแล้วไม่เข้ามา ที่เขาถามแบบนั้นเพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำกับฉันสมัยเด็ก ๆ ทำให้ฉันฝั่งใจกับกีฬา “ชกมวย” มากแค่ไหน จนทุกวันนี้ฉันอายุ 50 กว่า ต่อให้จะผ่านมาหลายสิบปี สิ่งฉันโดนกระทำตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ยังคงมีผลกระทบทางจิตใจของฉันมาจนถึงทุกวันนี้

ชา

ตอนฉันเด็ก ๆ พี่ ๆ หลายคนในหมู่บ้าน พออายุได้ 17-18 เขาจะหายตัวไป ฉันก็สงสัย จะชอบถามแม่เสมอว่า ”พี่บ้านนั้นไปไหน พี่บ้านนี้ไปไหน” คำตอบของแม่คือ “ไปบางกอก” เวลาที่พี่ ๆ ที่หายไปเขากลับมา เขาจะแต่งตัวสวยมาเลย มีเงินมีทอง แล้วเขาก็จะสร้างบ้านใหม่ให้พ่อแม่เขา ฉันเห็นเขาทำแบบนั้นได้ ก็อยากมีเงิน อยากสร้างบ้านใหม่ ฉันก็เลยจะไปฟังเวลาพวกพี่ ๆ เขาคุยกัน เขาจะพูดคุยกันว่าเป็นลูกจ้างทำงานบ้านต้องทำอะไรบ้าง ต้องเลี้ยงน้อง ทำอาหาร ทำความสะอาด ล้างห้องน้ำ อะไรแบบนี้แต่หลายๆคนที่กลับไปเขาก็จะพูดกันนะว่า “นายจ้างที่กรุงเทพลามก ต้องแต่งตัวมิดชิด ต้องระวังตัว” นั้นคือครั้งแรก ๆ ที่ฉันได้ยินเรื่องราวของอาชีพลูกจ้างทำงานบ้าน

พอฉันอายุ 17 ตอนนั้นฉันเรียนหนังสืออยู่ที่ประเทศพม่า ฉันตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนแล้วเข้ามาในประเทศไทย ตั้งใจจะมาทำงานเป็นลูกจ้างทำงานบ้านนี้แหละ พอฉันเข้ามาแล้ว ฉันก็บอกพี่ ๆ ทุกคนแถวบ้านที่ฉันอยู่ให้หางานให้หน่อย จนพี่ผู้ชายที่หมู่บ้านเดียวกันที่พม่า เขามาบอกว่ามี นายจ้างอินเดียคนหนึ่งหาลูกจ้างทำงานบ้านอยู่เพราะมีคนจะออก ฉันพูดภาษาอินเดียได้ก็เลยตกลงไปทำ ตอนฉันไปทำงานวันแรกเห็นบ้านเขาใหญ่มาก มี 2 หลัง หลังแรกของครอบครัวนายจ้างชาวอินเดีย หลังที่สองของลูกน้องนายจ้างมีผู้ชายอยู่ 4- 5 คน ฉันเจอมาดามเจ้าของบ้านกับลูกชายกำลังจะไปต่างประเทศพอดี เขาบอกกับฉันว่า “ทำงานดีๆนะ เดี๋ยวฉันกลับมาอีก 1 เดือน” แล้วเขาก็ไปเลยตั้งแต่วันแรกที่ฉันเข้าทำงาน ที่บ้านนี้จะมีลูกจ้างทำงานบ้านอยู่ 2 คน คนที่จะออกเขาก็ยังอยู่นะ ช่วงแรกพี่ ๆ เขาก็สอนงานฉัน ให้ฉันทำนั้นทำนี่ไป ฉันก็ทำงานไปเรื่อย ๆ ผ่านไปสักพักฉันได้ยินพี่ ๆ เขาคุยกัน เอาของมาให้ดูว่านายผู้ชายซื้ออันนี้ให้ ตอนนั้นฉันก็แปลกใจนะ แต่ฉันก็ไม่กล้าถามเพราะฉันยังเด็ก

ฉันทำงานมาถึงวันที่ 22 วันนั้นพี่ ๆ ที่ทำงานกับฉันเขาออกไปตลาดกันแต่เช้า ลูกน้องนายจ้างหลังจากกินข้าว กินกาแฟกันเสร็จ เขาก็ออกไปทำงานกันหมด เหลือแต่นายจ้างผู้ชายที่เขาจะออกจากบ้านช้ากว่าคนอื่น พอเขาเดินลงมา ฉันก็ถามเขาว่าจะรับชา หรือกาแฟอะไรไหม พอสิ้นคำตอบว่าเขาต้องการชา ฉันก็รีบเข้าไปในครัวเพื่อชงชาให้กับเขา ในขณะที่ฉันกำลังชงชาอยู่ เขาก็เดินเข้ามาข้างหลัง มาลูบหัวฉัน แล้วก็จับที่ไหล่ ในใจฉันก็ไม่ได้คิดอะไรนะ คิดว่าเขาน่าจะเอ็นดู พร้อมกับถามว่า “ทำงานที่นี่เป็นยังไง ดีไหม” ฉันก็ตอบเขาว่า “ดี โอเคค่ะ” พอพูดคุยไปสักพักระหว่างที่เขาจับไหล่ฉันอยู่ เขาก็ดึงสายเสื้อในของฉัน ฉันรู้เลยว่าอันนี้ไม่ได้เอ็นดูฉันแล้ว ฉันก็รีบวิ่งหนีเข้าไปหลบในห้องน้ำ ฉันอยู่ข้างในนั้นสักพักจนเริ่มตั้งสติได้ เลยคิดว่าออกไปข้างนอกดีกว่าเพราะอยู่ในห้องน้ำหนีก็ไม่ได้ กลอนประตูก็ไม่ดี อยู่ข้างนอกน่าจะมีทางหนีมากกว่า

พอฉันเดินออกมา ฉันพยายามแสดงออกทั้งสีหน้าและท่าทางว่าฉันไม่พอใจเขา ตอนนั้นเขาเข้าไปอยู่ในห้องนั่งเล่น พอเขาเห็นฉันก็เรียกฉันให้ฉันไปหา ฉันก็กล้า ๆ กลัว ๆ ค่อย ๆ เดินเข้าไป เธอชอบดูวิดีไหม วันนี้เธอดูได้นะ ฉันอนุญาต เดี๋ยวฉันจะสอนให้ว่ากดเปิดยังไง ใช้ยังไง เขาเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ฉันรู้ว่าเขาพยายามใช้ของพวกนี้ล่อลวงฉัน ฉันก็ทำได้แต่พยักหน้าและถอยอยู่ห่างๆ เขา แล้วเหมือนโชคช่วย พี่ ๆ ที่เขาไปตลาดเขากลับมาพอดี เขาเห็นนายจ้างสอนดูวิดีโอเขาก็แปลกใจมาถามฉันว่านายจ้างให้ดูได้จริงหรอ แต่ในใจฉันตอนนั้นคิดแค่ว่าไม่ได้อยากอยู่แล้ว พอดีพี่อีกคนที่ฉันมาทำงานแทนเขา เขาจะออกวันนั้น “พี่พาหนูไปด้วยไหม ไปส่งหนูที่วัดแขกญาติหนูจะมารับที่นั้น” ฉันก็ขอร้องเขา จนเขายอมตกลง แล้วก็เรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งฉัน ตอนที่ฉันออกมาตอนนั้นนายจ้างไปทำงานแล้ว ฉันบอกกับพี่แม่บ้านคนที่ยังอยู่ว่าฉันไม่ทำแล้วฉันจะออก ฉันรู้ว่าถ้าต่อรองขอเงินเดือนที่ฉันทำมา 22 วันเขาก็คงไม่ให้ ตอนที่ออกมาฉันไม่ได้บอกเหตุผลจริง ๆ กับเขานะว่าฉันโดนนายจ้างทำแบบนี้ ฉันยังคิดอยู่เลยถ้าวันนั้นฉันไม่ทำแบบั้น ฉันไม่มีสติ ฉันไม่หนีออกจากบ้านนั้นมา ก็ไม่รู้จะโดนอะไรอีกบ้าง แล้วตัวฉันเองจะปลอดภัยหรือเปล่า

รถกระบะ

ตอนนั้นฉันกำลังจะเข้าเมืองไทย จริง ๆ ฉันมีงานทำอยู่ที่กรุงเทพนะ แต่โดนตำรวจจับส่งกลับมา ฉันเลยต้องติดต่อหานายหน้าให้พาฉันกลับเข้ากรุงเทพไปทำงานอีกครั้ง รอบนี้ฉันได้นายหน้าเป็นคนไทยก็คุยติดต่อกัน นัดวันเวลาที่จะเดินทาง พอถึงรอบที่ฉันจะต้องเดินทาง ฉันก็พบว่ามีคนที่เข้ากรุงเทพรอบเดียวกับฉันหลายคนมาก นายหน้าก็แจ้งการเดินทางว่าจะไปส่งใครก่อนบ้างและบอกฉันว่า จะส่งฉันเป็นคนสุดท้าย เขาอ้างว่าบ้านเขาอยู่ใกล้กับที่ที่จะไปส่งฉัน เขาขอไปส่งคนที่ไกลที่สุดก่อนจะได้ไม่เสียเที่ยว ฉันก็โอเค พอถึงเวลาที่ต้องเดินทางฉันเห็นคนเยอะเลยเลือกจะนั่งที่กระบะหลัง นายหน้าก็ทยอยไปส่งคน ทีละคนเรื่อย ๆ จนเหลือแค่ฉันคนเดียว จากตอนแรกฉันนั่งหลังกระบะ เขาก็เรียกฉันให้มานั่งข้างหน้า ที่เบาะข้าง ๆ เขา พอนั่งไปสักพักหนึ่ง เขาก็ชวนคุย ตอนนั้นฉันใส่ขาสั้น เขาก็เอื้อมมือมาจับที่ขาของฉัน ฉันก็รู้สึกได้ทันทีเลยว่าไม่ปลอดภัยแล้ว ก็มองหน้าเขาแบบไม่พอใจ เขาเลยเอามือออก ระหว่างทางที่รถกำลังวิ่งไปเรื่อย ๆ ฉันไม่รู้เลยว่าไกลแค่ไหน ผ่านมากี่นาทีแล้ว เพราะในหัวฉันคิดแต่ว่าจะทำยังไงดี จะเอาตัวรอดยังไงตลอดทาง แล้วจู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า ไปพักที่ห้องเขาก่อนได้ไหม เขาพยายามพูดหว่านล้อมให้ฉันยอมไปกับเขา ฉันจำไม่ได้ว่าตอนนั้นฉันปฏิเสธไปยังไง แต่ระหว่างทางที่เขาขับรถจะไปห้องของเขา แล้วเลี้ยวเข้าซอย ๆ หนึ่ง แถว ๆ อ่อนนุช บังเอิญฉันก็นึกขึ้นได้ว่าลุงของแฟนฉันเขาทำงานในซอยนี้ ฉันเลยบอกให้เขาจอดรถ พอเขาจอดฉันก็รีบลงจากรถ วิ่งไปบ้านที่คุณลุงของแฟนเขาทำงานอยู่ ฉันเลยรอดมาได้ ถ้าตอนนั้นฉันนึกไม่ออก หรือเขาไม่ได้เลี้ยวเข้าซอยนั้นพอดี ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ชุดชาวเขา

ตอนนั้นฉันกับแฟนทำงานอยู่ในประเทศไทยแล้วฉันตั้งท้อง ถ้าคลอดที่ประเทศไทยค่าใช้จ่ายแพงและฉันก็ไม่ได้รับสวัสดิการอะไรที่จะช่วยตรงนี้ได้ ทางเลือกเดียวที่มีคือต้องกลับไปคลอดที่ประเทศของฉัน พอคลอดเสร็จก็ต้องกลับมาทำงานฉันต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ไหนจะค่านม ค่ายา ค่าเสื้อผ้า ฉันฝากให้คนที่บ้านเลี้ยงลูกให้อาจจะไม่เสียเงินเยอะแต่ก็มีค่าใช้จ่ายทุก ๆ เดือน ฉันเลือกที่จะกลับมาทำงานในประเทศไทยอีกรอบ ตอนนั้นพาสปอร์ตก็มีนะแล้วแต่ว่าฉันไปคลอดลูกนานเลยหมดอายุ ฉันก็เลยต้องแอบเข้ามา ฉันก็ติดต่อหานายหน้า จนฉันเข้ามาในประเทศไทยได้ ก็มาเจอนายหน้าคนนี้ ปกติถ้าใครที่แอบเข้าเมือง นายหน้าส่วนใหญ่เขาจะให้แอบมาในรถขนผักบ้าง รถขนของบ้าง แต่นายหน้าคนนี้เขาให้ฉันนั่งรถทัวร์เข้ากรุงเทพไปพร้อมกับเขา และให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดชาวเขา เขาก็จะคอยบอกนะให้ฉันทำอะไร ห้ามฉันทำอะไรแบบนั้นแบบนี้ ฉันก็ทำตามคำที่เขาบอกทุกอย่าง ระหว่างทางที่ขึ้นรถทัวร์มาฉันจำไม่ได้ว่าตอนนั้นถึงตรงไหนแล้ว แต่เจอตำรวจสายตรวจผู้ชาย 2 คน เขาเรียกรถทัวร์ให้จอด เขาจะตรวจค้นอะไรสักอย่างตอนนั้นเราก็ไม่รู้ ตำรวจ 2 คนนั้นก็ให้เรียกให้คนบนรถทัวร์ลงมาให้หมด แล้วตำรวจก็เข้ามาคุยกับนายหน้า เขาถามอะไรสักอย่างนี่แหละ นายหน้าเขาก็พูดไทยได้ก็ตอบไป พอมาถึงฉัน ตอนนั้นยังพูดไทยไม่ค่อยคล่องแต่พอฟังได้ ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเขาถามว่าอะไร แต่ฉันพูดไม่ออก อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น เขาเห็นฉันมีพิรุธเลยพาฉันกับนายหน้าไปที่ห้องน้ำ พอไปถึงเขาก็พานายหน้าเข้าไปในห้องน้ำก่อน ไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกันสักแปปเดียวก็ปล่อยออกมา เขาก็เรียกให้ฉันเข้าไปต่อ ฉันเข้าไปเขาก็ค้นตัวฉันเลย จับตามร่างกายฉันทุกส่วน จับหน้าอกฉัน ค้นไปยังเสื้อชั้นใน ในใจตอนนั้นก็กลัวนะแต่คิดว่าไม่เป็นไรฉันมีลูกแล้ว ก็ยอมให้ตำรวจเขาค้นตัวจะได้รีบปล่อยฉันออกไปจากตรงนี้ แล้วเขาถามฉันว่า “รู้จักยาบ้าไหม” เขาถามฉันแบบนี้ซ้ำ ๆ หลายครั้ง ฉันก็กลัวเลยเผลอตอบไปว่ารู้จัก พอเขาได้ยินแบบนั้นเขาก็ให้ฉันอ้าขาออกเลย ฉันก็ตกใจจะให้ฉันอ้าขาทำไม เขาก็บอกให้อ้าขาออก ตอนนั้นกลัวมากก็ต้องยอมทำตามที่เขาบอก แต่โชคดีที่นายหน้าเดินเข้ามาตาม นายหน้าถามว่าทำอะไร ทำไมถึงนาน ตำรวจเขาก็เลยปล่อยฉันออกมา ถ้านายหน้าไม่เข้ามาเรียกฉันตอนนั้นพอดีก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉันไม่อยากจะคิดเพราะตำรวจผู้ชายให้ฉันอ้าขาแล้ว

หนังโป๊

ย้อนไปตอนนั้นประมาณ 20 ปีที่แล้ว ฉันอายุประมาณ 19 – 20 ฉันมาทำงานเป็นลูกจ้างทำงานบ้านได้ประมาณ 2 ปีแล้วในประเทศไทย แต่ฉันยังฉันพูดภาษาไทยไม่คล่องนะ พูดได้แต่ภาษาอินเดีย ตอนนั้นน้าฉันทำงานที่บ้านหลังหนึ่งนายจ้างเป็นคนแคชเมียร์ในเชียงใหม่ น้าเขาทำงานที่นั้นได้ประมาณ 1 ปี แล้วมีคนกำลังจะออกก็เลยชวนฉันเข้าไปแทน พอฉันเข้าไปทำงานนายจ้างบ้านนี้เขาจะเรียกฉันว่าลูก ไม่เคยเรียกฉันว่าแม่บ้านหรือคนใช้เลยนะ ฉันก็ทำงานกับที่บ้านหลังนี้ได้ประมาณ 5 – 6 เดือน แฟนนายจ้างเขาคลอดลูกพอดี แล้วเขาต้องบินกลับไปเยี่ยมครอบครัวเขาที่แคชเมียร์ ที่บ้านก็เลยเหลือแค่ฉันกับน้า และนายจ้างผู้ชาย

พอแฟนเขาไม่อยู่ คืนแรกนายจ้างก็พาผู้หญิงให้บริการ(Sex workers) เข้าบ้านมาเลย เขานั่งกินนั่งดื่มกันแล้วเขาเปิดหนังโป๊กลางห้องนั่งเล่น ฉันก็ต้องทำงานคอยเสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่มให้นายจ้างในสภาพแวดล้อมแบบนั้น “ฉันก็เห็นทุกอย่าง เขาก็เปิดหนังโป๊เสียงดังมาก ฉันจะไปไหนก็ไม่ได้นายจ้างเขาสั่งอะไรฉันก็ต้องทำ ต้องอยู่คอยเผื่อเขาเรียกใช้” อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ด้วย ฉันคิดว่ามีผู้หญิงอยู่ด้วยกันก็คงไม่มีอะไร คืนแรกผ่านไปฉันก็คิดว่าจะไม่มีอะไร แต่คืนที่สองนายจ้างก็ทำเหมือนเดิมเรียกผู้หญิงให้บริการ(Sex workers)มาที่บ้านอีก ฉันก็ต้องทำดูแลเหมือนเดิม แต่พอเข้าคืนที่ 3 เขาไม่ได้เรียกใครมา คืนนั้นเขาเรียกให้ฉันเสิร์ฟเหล้า กับกับแกล้มให้เขา ตอนนั้นน้าอยู่ด้วยคอยช่วยฉันทำงาน นายจ้างก็บอกให้น้ากลับที่ห้องให้ฉันอยู่คนเดียว พอน้าออกไป เขาก็พูดกับฉันว่า “คืนนี้เธอนอนห้องนี้นะ นอนที่นี่กับฉัน” ตอนนั้นฉันกลัวมาก ก็วางของที่ต้องเสิร์ฟแล้ววิ่งหนีไปห้องนอนของน้าเลย น้าก็บอกให้ฉันล็อกประตูไม่ต้องออกไปแล้ว

คืนนั้นฉันกับน้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เพราะเขานั่งอยู่ตรงระเบียงจ้องมองมาห้องฉันอยู่อย่างนั้นทั้งคืน ฉันกับน้าต้องนั่งพิงประตูทางเข้าไว้ เผื่อเขาจะพังประตูเข้ามา กลัวก็กลัว นอนก็ไม่หลับเลยรอจนถึงเช้า ฉันก็โทรหาญาติที่ทำงานใกล้ๆให้เขามารับฉันได้ไหม ฉันกลัวมาก ตอนนั้นฉันทำงานได้ 25 วัน ฉันก็ชวนน้าออกมาด้วยไม่ต้องทำแล้วบ้านหลังนี้ ฉันก็รอจนญาติมารับ เขามาพร้อมกับเพื่อน 3 คนนั่งรถตุ๊กๆกันมา ผู้หญิงทั้งหมดเลยไม่มีผู้ชาย มาถึงก็จอดที่หน้าบ้าน ฉันกำลังเดินออกไป นายจ้างเขาถามว่าจะไปไหน ฉันก็บอกจะออกไม่อยู่แล้ว ฉันขอเงินเดือนที่ฉันทำมา 22 วัน เขาก็บอก “ไม่ให้ จะไปก็ไปเลย” ญาติฉันก็โมโห ว่าเขาเงินเดือนก็ไม่ให้ยังลวนลามฉันอีก พอฉันขึ้นรถตุ๊กๆนั่งกันออกมา ปรากฏว่านายจ้างขับรถตามออกมาเร็วมาก เหมือนจะมาชนรถตุ๊กๆที่ฉันนั่ง แล้วเขาก็ขับมาปาดหน้า เขาลงรถมาขู่พวกฉันแล้วพูดว่า “อย่าปากดีนะไม่งั้นจะชนให้ตาย” แล้วเขาขับรถไป ฉันตกใจมากพอแฟนเขาไม่อยู่นิสัยเขาพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ก็คิดนะว่าถ้าวันนั้นฉันไม่หนีออกมา ฉันต้องโดนแน่ ๆ เพราะไม่มีใครช่วยฉันได้เลยถ้าฉันอยู่ต่อ

โทรศัพท์

ตอนนั้นฉันให้เพื่อนหานายหน้าให้ พอติดต่อกันเสร็จก็ถึงวันที่ต้องไปเจอเขา พอฉันไปถึงก็เห็นว่าเขาเป็นตำรวจ เขาให้ฉันไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ในบ้านนั้นฉันเข้าไปก็เจอผู้หญิงอีก 4 คนที่จะเข้ากรุงเทพเหมือนกับฉัน เขาให้พวกเรารออยู่ที่บ้านหลังนั้นหลายวัน เวลาตำรวจคนนี้เขาจะใช้อะไรฉันก็ลงมือทำไม่ได้พูดไม่ได้คุยอะไรกับเขา เขาก็คิดว่าฉันพึ่งเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกพูดภาษาไทยไม่เป็น ระหว่างนั้นตำรวจคนนี้เขาค่อยๆพาไปทีละคนๆ จนเหลือแค่ฉันคนเดียว พอถึงเวลาที่เขาจะต้องพาฉันไป เขาก็มาบอกว่าไม่กล้าพาฉันไปเพราะดูฉันยังเด็กเกินไป ทั้งที่ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้เป็นเด็กแล้วนะ เขาพยายามจะมีข้ออ้างไม่ไปส่ง ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาพูดทำไม สุดท้ายเขาก็พาฉันไปอยู่ดี เขาให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวเป็นพยาบาล ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรก็เปลี่ยนตามที่เขาบอก พอฉันแต่งตัวเสร็จแล้วเขาก็ให้ขึ้นรถขับออกจากบ้านนั้นมา

เขาขับไปได้สักพักหนึ่งเขาก็พาฉันเลี้ยวเข้าไปที่โรงแรมแล้วก็จอดที่ห้องๆหนึ่ง ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรนะ คิดว่าเพื่อน ๆ คนที่มาก่อนน่าจะอยู่กันข้างในนี้ พอฉันเดินเข้าไปในห้องเห็นมีแต่กระจกเต็มไปหมด ฉันก็รู้เลยว่าเขาว่ามีเจตนาอะไรถึงพาฉันมาที่นี่ ฉันก็ถามเขา “ไหนเพื่อน ไม่เห็นมีเพื่อนเลย เพื่อนอยู่ที่ไหน” เขาก็บอกว่าเธอสวยนะ ฉันพาเธอมานอนที่นอนดีๆ เขาก็พยายามจะมาโดนตัวฉัน ฉันเลยวิ่งหนีเข้าห้องน้ำแล้วก็ล็อกประตู เขาก็พยายามพูดหว่านล้อมให้ฉันเปิดประตูให้ฉันยอมเขา ฉันก็ไม่เปิดพยายามต่อรองให้เขาไปส่งฉันที่ที่เพื่อนคนอื่นอยู่ พอพูดคุยเรื่อย ๆ เขาก็พูดว่า “พูดภาษาไทยได้ด้วยหรอ” ฉันก็ตอบว่า “ทำไมถ้าพูดไม่ได้เธอจะทำอะไรฉัน” ฉันก็ขู่เขาว่าฉันมีโทรศัพท์นะจะโทรแจ้งตำรวจ ถ้าเขาไม่ยอมไปส่งฉัน ฉันก็ขู่เขาจนเขายอม ฉันเลยบอกให้เขาไปรอหน้าห้องฉันถึงจะเปิดประตูออกไป สักแปปหนึ่งฉันก็ได้ยินเสียงเขาออกไปข้างนอกฉันก็รีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำไปที่หน้าห้องเลย แต่พอออกมาแล้วจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ก็ต้องยอมขึ้นรถไปกับเขาอีกอยู่ดี เขาก็พูดอีกว่าถ้าเธอยอมฉัน เดี๋ยวจะไปส่งเธอถึงกรุงเทพเลย ฉันก็ปฏิเสธอย่างเดียว พยายามระวังตัวไม่ให้เขามาทำอะไรฉันอีก เขาขับรถสักพักก็ถึงที่ที่หนึ่ง ฉันเข้าไปก็เจอเพื่อนที่มาก่อนๆ เขานั่งกันอยู่ ฉันก็เข้าไปหาพวกเขา ว่าตำรวจคนนี้เขาได้ทำอะไรใครบ้างไหม ฉันก็เล่าเรื่องที่ฉันโดนให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่าเขาก็โดนลวนลามเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขนาดฉัน เพื่อนก็บอกว่าดีแล้วที่เธอไม่ยอม ไม่รู้ว่าคนอื่นๆที่มากับนายหน้าคนนี้จะโดนเขาทำอีกบ้าง เป็นโชคดีของฉันที่มีโทรศัพท์ไว้กับตัว

หม้อทำอาหาร

ตอนนั้น ฉันอายุ 16 ปี กำลังจะจบมัธยมปลาย แล้วฉันมีญาติที่ทำงานในกรุงเทพเขาถามว่าอยากทำงานไหม สมัยก่อนเรียนจบก็ยังเข้ามหาลัยไม่ได้ ก็เลยเลือกมาทำงานเก็บเงินแล้วค่อยกลับไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย จนนายหน้าติดต่อมาให้ไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ตกลงเงินเดือนกันที่ 3,000 บาท ฉันก็ต้องเดินทางข้ามประเทศมา ภาษาไทยก็ไม่ได้ งานก็ไม่เคยทำ นายหน้าบอกว่าฉันไม่ต้องคิดมากเด็กที่ฉันจะต้องไปเลี้ยงน่ารักมาก ถ้าฉันเลี้ยงได้ดีคุณผู้หญิงจะให้เงินเดือนมากกว่านี้

แต่พอฉันไปถึงจริง ๆ ไม่ได้เลี้ยงน้องเลย ต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ทำทั้งวันก็ยังไม่เสร็จ ที่บ้านนายจ้างเขาอยู่ 5 คน มีคุณผู้หญิง ลูกสาว ลูกชาย ลูกสะใภ้ และ เด็กอีก 1 คน ตัวลูกชายฉันไม่เคยเห็นเขาเลย ฉันรู้แค่ว่าเขาติดยาเสพติด อยู่แต่ในห้องตลอดเวลา แม่กับแฟนเขาจะเอาข้าวไปให้กินในห้อง แต่ตอนดึก ๆ เขาจะออกมานอกห้อง เวลานอนฉันก็เลยล็อกประตูตลอด ครอบครัวนี้เวลาเขาจะสั่งให้ฉันทำอะไรก็ใช้ภาษาไทย ตอนนั้นภาษาฉันก็ยังไม่ได้ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง คุณนายผู้หญิงกับลูกสาวเขาก็จะดุฉันเวลาสั่งงานแล้วฉันไม่เข้าใจ

ทุก ๆ วัน ฉันต้องไปเปิดประตูให้ตัวลูกสาวเวลากลับมาบ้าน บางครั้งฉันรีดผ้าอยู่ชั้น 2 ก็ไม่ได้ยินว่าเขามาแล้ว เขาก็โมโหบีบแตรรถยาวมาก จนบ้านข้างๆออกมาดูประจำ เหมือนเขาเป็นคนหงุดหงิดตลอดเวลา เดี๋ยวก็ตะคอกฉัน ไม่พอใจก็ขว้างปาข้าวของ บางทีโมโหเรื่องอื่นก็มาลงที่ฉัน มันทรมานมากที่ต้องโดนแบบนั้นทุก ๆ วัน ฉันไม่มีความสุขเลยเหมือนทำงานไปวันต่อวัน รู้อย่างเดียวฉันต้องอดทน

มื้อเย็นพอทุกคนกินข้าวเสร็จ ฉันก็ล้างจานเก็บของเสร็จก็ปิดบ้าน แล้วเข้าห้องฉัน นอนกำลังจะหลับลูกสาวเขาก็มาเคาะประตู เพราะหาของไม่เจอ บางทีฉันเปิดช้าก็โมโห ทั้งทุบ ทั้งเขย่าประตู ฉันทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอนพักผ่อนบ้าง ก็จะเจอแบบนี้เป็นประจำ ตอนทำงานก็แทบจะไม่มีเวลากินข้าว จะนอนหลับสนิทๆก็โดนปลุก บางครั้งก็นอนร้องไห้ จนฉันได้รู้จักพี่ลูกจ้างทำงานบ้านที่อยู่บ้านข้างๆ ฉันเห็นนายจ้างบ้านนั้นพูดคุยกับพี่เขาดีมาก ไม่เหมือนนายจ้างฉัน พี่เขาก็บอกว่า “บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ได้เลย เพราะว่านายจ้างชอบใช้อารมณ์”

จนวันหนึ่งเกิดเรื่องในบ้าน ลูกสาวกับพี่สะใภ้ทะเลาะกันเสียงดังมาก พี่สะใภ้ก็พาลูกของเขาออกจากบ้านไปเลย บรรยากาศในบ้านหลังนั้นก็ไม่ดีแล้ว ทำให้ฉันกลัวไม่อยากอยู่ต่อ ฉันก็เลยโทรหาญาติให้บอกนายหน้าให้หน่อยว่าฉันไม่อยู่แล้ว นายหน้าก็โทรมาคุยกับคุณผู้หญิง แล้วเขาก็มาตะคอกใส่ฉัน “เธอไม่อยากอยู่ที่นี้แล้วหรอ” ฉันก็ตอบไปว่าไม่อยากอยู่แล้ว นายหน้าก็ช่วยโกหกว่าจะมีคนมารับไปทำงานอีกบ้านในหมู่บ้านเดียวกันแต่จริง ๆ ไม่มีหรอกฉันแค่อยากออกจากบ้านหลังนี้

ช่วงเย็น ๆ ก็มีพี่คนหนึ่งขี่จักรยานมารับเขาเป็นลูกจ้างทำงานบ้านในหมู่บ้านนี้เหมือนกัน นายหน้าบอกเขาว่าให้พาฉันออกมาจากบ้านหลังนั้นก่อน ฉันก็รีบเก็บเสื้อผ้าเอามาแค่ 2-3 ชุด ที่เหลือฉันก็ทิ้งไว้ที่นั้น พี่เขาก็ขี่จักรยานมาส่งหน้าปากซอยฉันก็โทรหาญาติให้มารับแต่เขามาไม่ได้ เขาบอกให้ฉันไปหาพี่คนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในหมู่บ้านนั้น จริง ๆ เขาอยู่บ้านใกล้ ๆ ฉันที่พม่า พอฉันไปถึงพี่เขาก็ช่วยคุยกับนายจ้างให้ เขาก็เข้าใจว่าฉันเจออะไรมาบ้าง ก็ให้ฉันนอนที่นั้น 1 คืน วันรุ่งขึ้นญาติฉันก็มารับออกจากหมู่บ้านนั้น

บ้าน

ครอบครัวฉันเขาทะเลาะกันเป็นประจำทุกวัน ถ้าวันนึงมี 24 ชั่วโมง พ่อแม่ฉันทะเลาะกันวันละ 25 ชั่วโมง ตั้งแต่ฉันจำความได้ ครอบครัวฉันแม่เป็นเชื้อสายกระเหรี่ยง ส่วนพ่อเป็นคนเชื้อสายพม่า สมัยก่อนคนกระเหรี่ยงเขาจะไม่ชอบคนพม่า คุณยาย คุณตายายเขาก็เลยไม่ยอมรับพ่อ แม่ก็เลยต้องหนีตามพ่อมา มันเริ่มต้นมาจากตรงนั้น แม่ต้องเจอความลำบากหลายอย่างที่เขาไม่เคยเจอ ทั้งอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย แล้วแม่เป็นคนทำกับข้าวไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็น พอเวลาพ่อไปทำงานกลับมาเขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่อีกที พ่อเขาก็เหนื่อย รายได้ในสมัยนั้นก็น้อยมันเลยเกิดความเครียด แม่ฉันเขาจะเป็นคนปากจัดชอบด่า ชอบว่าพ่อ พ่อก็จะตอบโต้ด้วยการทำร้ายร่างกาย ถึงขนาดแม่เลือดออกก็มี เห็นการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกๆวัน จากที่พ่อดื่มเหล้าไม่เป็นก็ไปดื่มเหล้า พอแม่ว่าพ่อ พูดไม่เข้าหูพ่อก็ทำร้ายร่างกายอีก

แม่เป็นคนที่รักพ่อมาก คนแถวบ้านชอบมาเล่าให้แม่ฟังว่าพ่อไปกับผู้หญิงคนนั้น คนนี้ พอพ่อกลับมาบ้านก็ทะเลาะกันอีก ถึงพ่อกับแม่เขาจะใช้ความรุนแรงกันแค่ไหน ข้อดีของเขาคือไม่ใช้ความรุนแรงกับฉันกับพี่น้องนะ เขาจะใช้เหตุผล เขาไม่เคยทำร้ายฉันและพี่น้องคนอื่นๆ แต่ก็มีบ้างที่โดนลูกหลงตอนเขาทะเลาะกัน หลายครั้งที่เขาเลิกกันไปหลายรอบ พอผ่านไปสักพักแม่ก็ไปตามพ่อกลับมาแล้วก็ทะเลาะกันเหมือนเดิม ซ้ำๆอย่างนี้หลาย เวลาเขาทะเลาะกันนี่จะเสียงดังมากคนในหมู่บ้านก็ไม่ชอบ บางทีฉันไปโรงเรียนคุณครูก็ไม่ชอบฉัน เพื่อนๆก็จะถามว่าพ่อแม่ทะเลาะกันหรอบ่อยครั้ง จนทำให้ฉันอาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าออกไปหน้าชั้นเรียน ตอนเด็ก ๆ ก็คิดนะว่าอยากให้เลิกกันจริง ๆ จัง ๆ ไปเลย ไม่ใช่เลิกกันแปป ๆ ก็กลับมาดีกัน แล้วก็มีน้องเพิ่มมาอีกคนนึง บ้านก็ยากจนจะหาจากไหนมาพอเลี้ยงทั้งครอบครัว อยากจะหนีออกจากบ้าน แต่ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน สิ่งที่พ่อแม่ถึงแม้จะไม่ได้ทำกับพวกฉันแต่ก็ส่งผลมาถึงพวกฉัน พี่ชายก็กลายเป็นคนใช้ความรุนแรงตามพ่อ พอเขาเห็นพ่อทำแบบนั้นทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ เวลาน้อง ๆ เถียงก็ใช้ไม้ตีน้อง ๆ ส่วนน้องอีกคนก็ไม่ค่อยพูด ไม่ออกจากบ้าน ไม่ค่อยเข้าสังคม เวลาออกไปไหนก็จะมีคนถามว่าพ่อแม่เธอทะเลาะกันหรอ เขาคงอาย ทำให้เขาเก็บตัว ไม่ค่อยอยากออกไปข้างนอก พอฉันโตขึ้นเห็นครอบครัวเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆทำให้ฉันคิดเสมอว่า ถ้าฉันมีครอบครัว ฉันไม่อยากมีครอบครัวแบบนี้ครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง

แบงค์ 500

ตอนนั้นฉันเข้ามากรุงเทพใหม่ๆ อายุ 13 ปี แอบหนีครอบครัวแล้วก็เข้ากรุงเทพมากับญาติ เขาก็มาบอกว่ามีครอบครัวนึงต้องการคนไปช่วยดูแลลูก อายุประมาณ 8 เดือน พอฉันตกลงไปทำญาติฉันก็ไปส่ง ครอบครัวนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในสังคม เขาจะอยู่กัน 3 พี่น้อง มีบ้าน 3 หลังใกล้กัน ก็จะมีพี่สาว นายจ้าง และก็น้องชาย ในครอบครัวนายจ้างเขาก็จะมี ภรรยา (ฉันเรียกเขาว่าแม่บุญธรรม) ลูกสาว 3 คน 7 ขวบ 3 ขวบ และก็ 8 เดือนที่ฉันต้องดูแล ฉันเข้าไปแรกๆ แม่บุญธรรมกับพี่ๆลูกจ้างทำงานบ้านที่อยู่มาก่อน เขาก็คอยสอนงานฉัน ฝึกชงนม ล้างขวดนม เปลี่ยนผ้าอ้อม ดูแลน้องอะไรพวกนี้ จนฉันทำงานมาได้ประมาณ 3 ปี ตอนนั้นน่าจะอายุ 16 ปี ปกติเวลากกลางวันจะไม่มีใครอยู่บ้าน นายจ้างจะออกไปทำงาน ลูกๆเขาก็จะไปโรงเรียน ฉันอยู่จนเริ่มทำอะไรเป็นหลายอย่าง พี่ลูกจ้างทำงานบ้านอีกคนเขาก็ขอกลับต่างจังหวัดไป ทีนี้น้องชายของนายจ้างที่อยู่บ้านอีกหลัง พอเห็นฉันอยู่คนเดียวก็เริ่มมาหยอกล้อ จีบๆแซวๆฉัน บางทีเขาใช้ให้ฉันไปหยิบหนังสือพิมพ์ พอเอามาให้เขาก็คว้าตัวฉันไว้เลย ตอนนั้นฉันยังเด็ก ก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้สนใจ บางทีแค่เดินผ่านก็มาแกล้งฉันเดินชนบ้างมาจับตัวฉันบ้างเขาจะชอบทำพฤติกรรมแบบนี้ใส่ฉัน ตอนนั้นฉันอายุ 16 ปี ต่อมาไม่นานครั้งนี้เขาพยายามข่มขืนฉัน ห้องนอนของฉันจะอยู่ใกล้ทางเชื่อมจากบ้านเขา น้องชายนายจ้างก็อาศัยจังหวะที่ฉันอยู่บ้านคนเดียว เดินข้ามฝั่งมาหาฉัน แล้วเขาก็เข้ามากอดฉันจากข้างหลัง ฉันก็โวยวายตะโกนเสียงดัง ทั้งข่วนทั้งกัดให้เขาปล่อย เขาก็พยายามจะอุ้มฉันเข้าไปในห้องให้ได้ ฉันก็ไม่ยอม จนกัดแรงขึ้น เขาก็ปล่อยแล้วก็พูดกับเขาว่า “อย่ามาทำแบบนี้อีกนะไม่งั้นจะบอกแม่บุญธรรม” พอหลังจากเหตุการณ์นั้นฉันก็ไปบอกแม่บุญธรรมว่าน้องชายของนายจ้างมาทำแบบนี้กับฉัน แม่บุญธรรมก็บอกว่าอย่าไปบอกใครนะเดี๋ยวจะเสียชื่อมาถึงนายจ้าง เขาจะให้นายจ้างไปคุยกับน้องชายและห้ามมายุ่งกับฉันอีก หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้นะว่าเขาไปคุยให้จริงหรือเปล่า ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ฉันรู้สึกว่าเขาพยายามจะทำแบบเดิมอีกรอบ คือฉันเห็นเขาเดินเข้ามาบ้านนายจ้าง แล้วตรงเข้ามาหาฉันเลย ฉันก็รีบหนีไปอีกทาง จนครั้งสุดท้ายเขาเข้ามาหาฉัน พร้อมเอาเงินมาให้ 500บาท พูดคุยกับฉันเผื่อว่าฉันจะใจอ่อน พยายามหว่านล้อมต่างๆนาๆ แต่ฉันก็ฉีกแบงก์ 500 นั้นทิ้งต่อหน้าเขาเลย แล้วก็พูดกับเขาว่า “ถ้ายังทำแบบนี้อีก ฉันจะแจ้งตำรวจและเอาเรื่องให้ถึงที่สุด” แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่มายุ่งกับฉันอีกเลย แต่เขาไม่ได้เลิกทำพฤติกรรมแบบนี้นะ เขาไปทำกับน้องอีกคนที่เป็นลูกจ้างทำงานบ้านที่มาจากประเทศพม่าจนตั้งท้อง และก็เอาเงินให้ลูกจ้างทำงานบ้านคนนั้นไปเพื่อเอาเด็กออก ฉันทำงานต่ออีกสักพักก็ออกมาจากบ้านหลังนั้น

ตู้ปลา

ตอนนั้นพี่ชายฉันมาชวนไปทำงานเป็นลูกจ้างทำงานบ้าน เขาเป็นเจ้าของโรงไม้ที่พี่ชายทำงานอยู่ เพราะว่ามีลูกจ้างทำงานบ้านอีกคนจะออก ฉันรู้แค่ว่าบ้านนี้ลูกจ้างทำงานบ้านผู้หญิงจะอยู่ไม่ค่อยได้ 1 – 2 เดือนก็ออก ฉันเห็นมีพี่ชายอยู่ด้วยก็เลยไปทำ งานของฉันหลักๆก็มีทำความสะอาด เลี้ยงลูกเขา ทำกับข้าว เวลาฉันเลี้ยงลูกเขาอยู่นายจ้างผู้ชายจะชอบให้เงินฉัน บอกว่าให้พาลูกเขาไปซื้อขนมเป็นประจำ ฉันก็ไม่ได้สงสัยหรือแปลกใจอะไร จนฉันทำงานมาได้สักพักหนึ่งตอนนั้นฉันก็ทำความสะอาดตามปกติ ฉันก็ทำไปเรื่อย ๆแล้วก็เข้าไปทำความสะอาดห้องของนายจ้าง ระหว่างที่ฉันกำลังทำความสะอาดอยู่นายจ้างก็มาลูบก้น ลูบหัวฉัน ฉันก็เลยหันไปว่าเขา ”เฮียจะทำอะไร” เขาก็ตอบว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันก็เริ่มกลัว เลยหนีไปทำงานที่ชั้นอื่นนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคุกคามฉัน หลังจากนั้นไม่นาน งานของฉันทุกเช้าประมาณตี 5 ต้องลงไปให้อาหารสุนัขเป็นประจำทุกวัน ตอนนั้นฉันตื่นประมาณตี 4 ก็เลยลงไปทำงาน ฉันก็คิดว่าเวลานี้ไม่น่าจะมีใครตื่น ฉันให้อาหารสุนัขเสร็จ ก็ทำความสะอาดตู้ปลาต่อ แล้วก็มีผู้ชายมาจากไหนไม่รู้เข้ามากอดฉันจากด้านหลัง ฉันตกใจก็ถีบไปที่ผู้ชายคนนั้น พอเห็นว่าเป็นนายจ้าง ฉันก็โวยวายว่าเขาทำอะไรแบบนี้ นายจ้างก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉันจะมาเอาของ จะมาดูตู้ปลา ฉันก็โวยวายใส่เขา แล้วเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม

มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นฉันนอนหลับอยู่ในห้องของฉัน แล้วรู้สึกว่าเหมือนมีคนเดินอยู่ในห้อง พอฉันตื่นมาก็ไม่เจอใคร แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจก็นอนต่อ หลังจากนั้นฉันจำไม่ได้ว่านานแค่ไหน อยู่ ๆนายจ้างผู้หญิงก็เรียกฉันเข้าไปคุย ถามฉันว่านี้อะไรพร้อมกับให้ดูกุญแจ เขาก็ถามว่ารู้ไหมกุญแจอะไร ฉันก็บอกว่าไม่รู้ เขาก็พูดเลยเลยว่าเป็นกุญแจห้องฉันเขาไปเจอในห้องของนายจ้างผู้ชาย ฉันก็งงเพราะกุญแจห้องฉัน ฉันยังไม่เคยเห็นเลย ตอนเข้ามาครั้งแรกก็ไม่มีใครให้กุญแจฉัน นายจ้างผู้หญิงก็ว่าฉันมีอะไรกับแฟนเขา ว่าฉันเป็นชู้ ตอนนั้นยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แต่ฉันก็พยายามเถียงว่าไม่ได้ทำ พยายามก็ปฏิเสธ นายจ้างผู้หญิงเขาก็ร้องไห้แล้วก็เดินออกจากห้องไปไม่คุยกับฉัน ฉันก็ย้อนมาคิดได้หรือว่าคืนนั้นที่ฉันรู้สึกว่ามีคนเดินในห้อง นายจ้างผู้ชายอาจจะเข้ามา ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแล้วก็เลยไปอยู่ห้องของพี่ชายที่ไม่ห่างกันมากฉันหลบอยู่ที่นั้น ตอนเย็นนายจ้างผู้ชายเขาดื่มเหล้าอยู่กับเพื่อนเขาก็ให้คนมาตามฉันไปทอดกับแกล้มให้เขากิน ฉันก็ไม่ไปพี่ชายก็ด่าฉันอย่างเดียว ตอนนั้นมีเพื่อนพี่ชายมาหาพอดี เขาเป็นผู้หญิงฉันก็ถามเขาว่ามีงานที่ไหนให้ทำไหมเขาก็บอกว่ามี ฉันเลยตัดสินใจออกจากงานที่นั้น เงินเดือนก็ไม่เอา ฉันก็เก็บเสื้อผ้าไปกับเพื่อนพี่ชายเลย ไม่บอกใครพี่ชายก็ไม่บอกกลัวเขาว่าฉัน ฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยนะตอนนั้นรู้สึกว่าอายที่ฉันโดนทำแบบนั้น

พอฉันตามพี่คนนั้นไปเขาก็ให้ฉันไปทำงานบ้านหลังหนึ่ง มีพ่อ แม่ และลูกชายอายุ 16 บ้านหลังนี้นายจ้างดีมาก ตอนเช้าเวลานายจ้างออกไปทำงาน ลูกชายเขาที่แกล้งออกไปโรงเรียนตอนเช้าก็จะแอบกลับมาบ้านพร้อมเพื่อนหลายๆคน ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวก็กลัวเหมือนกัน พอฉันเข้าไปทำความสะอาดห้องเขาก็ได้กลิ่นบุหรี่ จนฉันเริ่มสังเกตว่าเงินที่ฉันเก็บไว้ในห้องหายไป แบงค์100ทีละใบ สองใบ ฉันก็เริ่มสงสัย แล้วลูกชายนายจ้างชอบยืมเงินฉันบ่อยๆ จนฉันไปบอกนายจ้างว่าลูกเขาสูบบุหรี่ในห้องแล้วก็ยืมเงินฉันแต่ไม่คืน นายจ้างเขาก็เลยแอบตามดูลูกชาย จนเขาจับได้ว่าลูกติดยาเสพติดเลยมายืมเงินฉันไปเสพยา ฉันก็ไม่กล้าอยู่แล้วถ้าวันไหนฉันไม่ให้กลัวเขาจะทำอะไรฉันเลยหนีออกมา

หลังจากนั้นฉันได้ไปทำงานที่จังหวัดเพชรบุรี ได้ไปอยู่กับนายจ้างครอบครัวหนึ่ง นายจ้างผู้หญิงเขาดีมากๆ จะเรียกฉันลูกตลอด เทคแคร์ ดูแลฉันเหมือนลูกคนหนึ่ง ส่วนนายจ้างผู้ชายเวลาเขากลับจากทำงานก็จะพาเพื่อนๆเขามาด้วยมานั่งดื่มเหล้ากัน แล้วก็จะใช้ให้ฉันทำกับแกล้มให้ วันนั้นก็ปกติเหมือนทุกวันนายจ้างผู้ชายก็กลับมาจากทำงานพาเพื่อนมานั่งดื่มกินกันปกติ ฉันก็ไปทำกับแกล้มให้เขา เสร็จแล้วฉันก็ไปนั่งดูทีวีอีกห้องหนึ่ง หลังจากเพื่อนเขากลับไป เขาก็มาหาฉัน เข้ามาลูบหัว ลูบไหล่ฉันแล้วก็พูดว่า “อยากได้เงินไหมเขามีเงิน แต่อยากให้เธอช่วยฉันหน่อย” เขาพยายามพูดหว่านล้อม จะให้เงินฉันได้ถ้าฉันยอมเขา ฉันก็บอกไม่เอา ตอนนั้นฉันกลัวเขามาก นายจ้างผู้หญิงก็ยังไม่กลับมาจากทำงาน ถ้าฉันอยู่คนเดียวกลัวเขาจะทำอะไรฉัน ก็เลยหนีไปอยู่กับน้องชายของนายจ้างผู้หญิง ไปนั่งคุยกับเขา ฉันไม่กล้าบอกเขาว่านายจ้างผู้ชายพูดอะไรกับฉัน พอเจอแบบนี้ฉันก็กลัวไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว นั่งร้องไห้อยากกลับบ้าน พอนายผู้หญิงกลับมา ฉันก็ขอนายผู้หญิงว่าฉันลาออก เขาก็ใจดีนะ วันรุ่งขึ้นเขาก็ให้น้องชายของเขามาส่งที่กรุงเทพแต่ฉันก็ไม่ได้บอกเขานะว่าฉันโดนนายจ้างผู้ชายทำแบบนี้กับฉัน กลัวเขาจะทะเลาะกัน

ขนมและเสื้อผ้า

ตอนฉันอายุ 23 ปี ฉันทำงานที่บ้านแห่งหนึ่งในกรุงเทพ นายจ้างเปิดร้านร้านทำผมอยู่ล่าง ชั้น 2-3 จะเป็นพื้นที่อาศัยของครอบครัวและห้องนอนฉัน งานของฉันก็ทำงานบ้านและก็ช่วยงานในร้านทำผม ในครอบครัวนั้นจะมีกันอยู่ 3 คน คุณลุง คุณป้าและลูกสาว คุณลุงจะใจดีไม่เคยว่าฉันดูแลฉันตลอด ส่วนคุณป้าจะดุหน่อย คุณลุงเลยจะกลัวคุณป้ามาก ลูกสาวเขาตอนนั้นกำลังเรียนมหาวิทยาลัยน้องเขาคุยภาษาอังกฤษกับฉันได้ แต่น้องเขาอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัยก็ไปๆมาๆ เวลาฉันต้องการอะไรก็จะบอกน้องเขาให้บอกคุณลุงกับคุณป้าให้เพราะเขาคุยภาษาอังกฤษกันไม่ได้

ตอนนั้นทำงานได้ประมาณ 4-5 เดือน อยู่ๆคุณลุงก็มาพูดว่า “เธอดูสวยขึ้นนะ มาแรกๆไม่สวยขนาดนี้” ฉันก็แปลกใจทำไมคุณลุงมาชม ครั้งหนึ่งฉันไม่สบาย แล้วในบ้านไม่มีคนขับรถได้ยกเว้นคุณลุง เขาเลยขับรถพาฉันไปหาหมอ ระหว่างทางไปโรงพยาบาลเขาก็ชวนคุยปกติถามอาการฉัน แล้วอยู่ๆเขาก็เอื้อมมาจับมือฉันแล้วก็พูดว่า “ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวก็ได้เจอหมอแล้ว” ฉันตกใจ ก็ดึงมือออกเลย หลังจากนั้นไม่นาน คุณลุงก็ทำพฤติกรรมแบบนั้นอีกรอบ ตอนนั้นฉันกำลังล้างจานอยู่หลังบ้าน คุณลุงเดินมาจากไหนไม่รู้ มาจับไหล่ฉัน ฉันก็ตกใจ ฉันก็ถอยออกห่างจากเขา เขาก็พูดว่า “เป็นอะไรทำไมต้องตกใจ” ฉันก็บอกไปว่า “คุณลุงมาเงียบๆฉันตกใจ” เขาก็ขอโทษๆแล้วก็เดินออกไป ตั้งแต่นั้นคุณลุงเขาเริ่มซื้อของมาให้ฉัน ขนมบ้าง เสื้อผ้าบ้าง เวลาเขาซื้อของมาเขาก็จะเอามาวางไว้ในห้องฉัน เขาก็บอกฉันว่า “ฉันซื้อเสื้อมาให้เธอนะ แต่อย่าไปบอกคุณป้าเดี๋ยวคุณป้าจะว่าเอา” ฉันก็แปลกใจทำไมต้องแอบเอามาให้ฉัน ฉันก็ไม่รับ ฉันก็รู้สึกว่าไม่ค่อยโอเคกับคุณลุงแล้ว

ทุกๆวันฉันพยายามหนี พยายามหลีกเลี่ยงกับการอยู่ 2 ต่อ 2 กับคุณลุง เวลาเห็นคุณลุงขึ้นมาข้างบนฉันจะลงข้างล่าง หรือไม่ก็ไปอยู่แถวๆที่คุณป้าอยู่ ฉันทำงานด้วยความระแวงตลอดว่าคุณลุงจะเข้ามาข้างหลังหรือเปล่า จนคุณลุงมาถามว่า “ทำไมต้องหนีเขา” ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร มีวันนึง ฉันอาบน้ำอยู่ข้างล่างเพราะฉันไม่มีห้องน้ำส่วนตัว ฉันมีความรู้สึกว่ามีคนพยายามเปิดประตู พอฉันเปิดไปก็เห็นเป็นคุณลุงยืนอยู่ก็รีบปิดประตู ฉันจะเล่าให้คุณป้าฟังก็พูดภาษาไทยไม่ได้ พูดเป็นภาษาอังกฤษคุณป้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าลูกสาวเขาอยู่ฉันก็สามารถคุยภาษาอังกฤษกับเขาได้บอกเขาได้ แต่เขาไม่อยู่ ฉันก็ทำได้แค่ต้องทนอยู่ไปเรื่อย ๆ แต่ฉันไม่มีความสุขแล้วต้องอยู่แบบระแวงตลอดเวลา จนมาวันหนึ่งฉันกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง ก็ได้ยินเสียงลูกบิดประตูพอฉันเปิดไปก็เจอคุณลุงแอบดูฉันอยู่ ฉันก็กรี๊ด โวยวาย คุณลุงก็หน้าเสียเลยนะ เขาก็บอกขอโทษๆอย่าไปฟ้องคุณป้านะ ฉันก็แสดงออกว่าฉันไม่ชอบกับสิ่งที่เขาทำ ฉันก็ต่อว่าเขาเสียงดังหวังจะให้คุณป้าได้ยิน แต่ห้องฉันอยู่ชั้น 3 เสียงคงดังไปไม่ถึง ฉันรู้สึกได้ว่าถ้าฉันยอมเขา เขาจะก็ทำกับฉันแบบนี้อีก หรืออาจจะมากกว่านี้ก็ได้ หลังจากครั้งนั้นคุณลุงก็เงียบๆไปไม่ค่อยมายุ่งอะไรกับฉัน แต่ก็ยังมีซื้อเสื้อ ซื้อขนมมาฝากไม่รู้ว่าเขาจะซื้อมาขอโทษฉันหรือมาเอาใจให้ฉันยอมอีกหรือเปล่า ฉันก็เลยไปคุยกับเขาตรงๆ ว่าไม่รับแล้วไม่ต้องซื้ออะไรมาให้อีก ยกโทษให้แล้ว ถ้าทำอีกจะฟ้องคุณป้าและลูกสาว หลังจากนั้นคุณลุงก็ไม่มาทำแบบนั้นกับฉันอีกเลย

ด้ามไม้กวาด

สังคมที่ฉันอยู่สมัยนั้นยังไม่มีการพูดถึง “ความเท่าเทียม” “การเลือกปฏิบัติ” หรือ “ความรุนแรง” เพราะครอบครัวของฉันยากจน พ่อกับแม่เลยฝากฉัน 2 คนพี่น้องให้ยายกับน้าคอยเลี้ยงดู ส่วนพ่อกับแม่ก็ไปทำงานไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก ที่บ้านนี้จะมียาย น้าชายและครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ ด้วยความที่น้ามีลูกชาย 1 คน ยายก็จะให้ความสำคัญกับหลานชายมากกว่าเรา 2 พี่น้อง ไม่ว่าจะทำอะไรหรือกินอะไรยายจะให้หลานชายมาก่อนเสมอ ได้กินของดีๆ ได้รับการดูแลดีๆ ส่วนฉันกับพี่สาวเป็นเหมือนแกะดำที่อยู่ในครอบครัวนี้ บางทีฉันทำผิดอะไรนิดหน่อยซึ่งไม่ได้ร้ายแรงนัก หรือเวลาพวกเขาโมโหอะไรมาก็จะมาลงที่ฉันและพี่สาว เขาตีขาฉัน ตีมือ ตีหัว แทบทุกส่วนในร่างกายที่เขาจะสามารถตีได้ ด้วยไม้ไผ่ ไม้กวาดหรืออะไรที่ใกล้มือ บางครั้งก็ถึงขั้นมัดมือฉันแล้วตีก็มี

ฉันโดนกระทำแบบนั้นตั้งแต่อายุ 3 – 4 ขวบ ซึ่งยังเด็กมาก เขาลงโทษฉันทุกๆวัน ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าฉันทำผิดอะไรมากมายนักหรอ ถึงต้องใช้ความรุนแรงกับฉันในวัยนั้น และยังเอาปมด้อย ความพิการของฉันและพี่สาวมาตั้งเป็นชื่อเรียกฉัน “ไอขาเป๋” “ไอนิ้วด้วน” ทั้งที่ฉันก็มีชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ทุกคนในบ้านเรียกฉันกับพี่สาวด้วยชื่อนั้นไม่เว้นแม้แต่ลูกของน้าชายที่อายุน้อยกว่าฉัน พอฉันกับพี่สาวโตขึ้นชื่อเหล่านั้นก็ติดตัวมากลายเป็นชื่อที่คนทั้งหมู่บ้านเรียกพวกฉัน มันมีความกลัวในใจตลอดเวลา บางทีฉันจะอธิบายฉันจะพูดก็ไม่กล้า ถ้าเกิดเขาไม่พอใจขึ้นมาก็ไม่มีใครคอยปกป้องฉัน มันรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น บางทีก็โดนเหยียดตระกูลทางฝั่งพ่อ เขามองว่าตระกูลของพ่อฉันเป็นคนไม่ดีทั้งที่ฉันเป็นแค่เด็กคนหนึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องมาลงที่ฉันกับพี่สาว ฉันโดนกระทำทุกๆวัน ทุกๆวัน ยายเขาไม่ได้นับว่าฉันเป็นหลานแท้ๆ เพราะฉันเกิดมาจากลูกสาวเขาไม่ใช่ลูกชาย ตอนเด็กๆฉันก็ไม่ได้บอกแม่นะว่าฉันโดนอะไรบ้าง ฉันเก็บไว้กลัวแม่กับยายจะทะเลาะกัน พอฉันโตฉันเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ร้องไห้แล้วพูดว่า “ลูกสาวของฉันต้องเจออะไรขนาดนี้เลยหรอ”

ลูกบิดประตู

ตอนฉันอายุ 17 ปี เข้าประเทศไทยมาใหม่ๆ ทำงานอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ นายจ้างคนนี้ใจดีเขาเปิดร้านขายเครื่องเขียน ฉันทำงานอยู่กับนายจ้างคนนี้ นอกจากทำความสะอาดกับทำอาหารแล้ว ก็ต้องช่วยงานในร้านของเขาด้วย ฉันแบกของ แบกลังอุปกรณ์ขึ้น-ลงๆ เขาเห็นฉันขยัน ทำงานได้ดีเลยให้ฉันย้ายไปช่วยลูกสาวเขาที่อยู่กรุงเทพ เพราะลูกสาวมีลูกเล็ก ฉันก็เลยต้องย้ายมาในกรุงเทพ ตอนนั้นฉันยังพูดไทยไม่คล่องแต่พอฟังรู้เรื่อง นายจ้างบอกว่า เงินเดือนทุกๆเดือนเขาจะเก็บไว้ให้ ฉันจะต่อรองก็ไม่ได้ จะปฏิเสธไม่ได้ ก็ต้องยอมรับตามที่เขาบอก

บ้านเขาอยู่แถวเพชรเกษม เขาเปิดร้านเครื่องเขียนเหมือนกับร้านที่นครสวรรค์ นายจ้างมีแฟนเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เขาเป็นนักข่าวก็ทำข่าวการค้าประเวณี อะไรแบบนั้น ส่วนนายจ้างก็จะอยู่บ้านดูแลร้านเครื่องเขียน หน้าที่ฉันก็ช่วยนายจ้างขายของ ทำงานบ้าน และก็ทำอาหาร ห้องนอนของฉันจะอยู่ตรงชั้นลอย ห้องของนายจ้างจะอยู่เหนือห้องฉันขึ้นไปอีก เวลาเขาขึ้น-ลงก็ต้องผ่านหน้าห้องฉัน แล้วบังเอิญฉันเห็นนายจ้างผู้ชายแอบมองฉันอยู่หน้าห้องนอน ฉันไม่รู้ว่าเขาแอบมองทำไม แต่มันทำให้ฉันกลัว พอฉันรู้ว่านายผู้ชายทำแบบนี้บ่อยๆ ทุกคืนฉันจะล็อกประตู แล้วเอาเชือกมัดที่ลูกบิดประตูให้ตึงที่สุดสุดเผื่อเขาไขกุญแจเข้ามา

เวลาที่พวกเขาจะออกไปข้างนอกกันทั้งครอบครัว เขาจะล็อกกุญแจบ้านขังฉันไว้ข้างใน ไม่ให้ออกไปไหน ฉันยังคิดเลย “ถ้าไฟไหม้ขึ้นมาฉันคงตายอยู่ข้างในนี้ไม่มีทางออก” มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันทำอาหารให้เขากินแล้วโดนน้ำร้อนลวกมือ แทนที่จะพาฉันไปหาหมอเขาก็ไม่ให้ฉันไป ทำได้แค่ทายา ถึงมือเจ็บก็ยังต้องทำความสะอาด ต้องทำกับข้าวให้เขากิน เขาไม่ให้ฉันพัก ไม่ได้ดูแลฉัน และไม่ให้ฉันคุยกับใครเลย จนมีข่าวไปถึงที่บ้านว่าฉันถูกจับไปขายเพราะติดต่อฉันไม่ได้ พ่อก็เลยตามหาเบอร์ฉันจากญาติ แล้วก็โทรมา แล้วตอนนั้นนายจ้างอยู่บ้านเขาก็รับสายแต่ก็ไม่ให้คุยกับฉันอีก พ่อก็เลยคิดว่าฉันถูกจับไปขายจริงๆ เขาตรอมใจอยู่หลายเดือนแล้วก็ฆ่าตัวตาย พอฉันรู้ก็ขอนายจ้างกลับบ้าน ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมให้ฉันกลับ ฉันเลยบอกเดี๋ยวฉันจะกลับมาแล้วเอาเสื้อผ้าไปแค่2-3ชุด เขาเลยยอมให้เงินเดือนฉันที่เขาเก็บไว้ แต่ก็ให้ฉันมาไม่ครบ ทั้งที่ตอนนั้นฉันทำงานกับเขามา 2 ปีกว่าๆ พอฉันออกมาได้ ก็ไม่กลับไปทำงานที่บ้านนั้นอีกเลย.